• ผู้ที่มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส หรือโรคติดเชื้อเฉียบพลัน
• บริเวณที่มีการอักเสบจากการติดเชื้อ
• บริเวณที่กระดูกแตก หัก ปริร้าว ข้อเคลื่อน
• โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวานที่ยังควบคุมอาการให้ปกติไม่ได้
• โรคผิวหนังมีแผลเปิดเรื้อรัง
• โรคติดต่อระยะแพร่เชื้อ
• โรคมะเร็ง บริเวณแผลหลังผ่าตัด ที่ยังไม่หายสนิท
• มีภาวะกระดูกพรุนรุนแรง

*** ทั้งนี้ในการตรวจประเมินก่อนการนวดให้อยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์แผนไทยผู้ทำการรักษา

หัตถการการนวดรักษาต้องพึงระวังในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน โรคเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆของหลอดเลือดหรือมีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด รวมไปถึงผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัด ใส่เหล็ก ข้อเทียม บริเวณบาดแผลที่ยังไม่หายสนิท บริเวณที่มีการปลูกถ่ายผิวหนัง หรือบริเวณที่เคยได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่ง

***ทั้งนี้ในการตรวจประเมินก่อนการนวดให้อยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์แผนไทยผู้ทำการรักษา

ทุกครั้งก่อนเข้ารับหัตถการการนวดรักษา จะมีการตรวจวัดความดันโลหิตก่อนทุกครั้ง เนื่องจากหากมีความดันโลหิตเกิน 140/90 mmHg ไม่ควรรับการนวดแต่ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์แผนไทย

ขณะมีประจำเดือนไม่แนะนำให้นวด เนื่องจากหลังรับหัตถการอาจก่อให้เกิดการอักเสบ อาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ หรือประจำเดือนมามากกว่าปกติได้ ในกรณีที่มีอาการปวดขณะมีประจำเดือน แนะนำให้ประคบร้อนบริเวณที่มีอาการ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง

ในระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉพาะไตรมาสแรกและไตรมาสที่สามไม่ควรรับหัตถการนวด เนื่องจากการนวดสามารถกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวองมดลูก ส่งผลให้เกิดการแท้งได้ แต่ในไตรมาสที่สองสามารถนวดบริเวณที่มีอาการปวดได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์แผนไทย